เปิดประตูให้ความสุขได้ออกมาแสดงตัวบ้าง

สร้างความสุขด้วยอะไรกันดี ถึงจะทำให้มีความสุขกันจริงๆ แล้วความสุขของคนรวยและคนจนมันเท่ากันไหม แน่นอนว่าคนรวยจะกินจะเที่ยวอย่างไรก็ได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่คนรวยจะมีความสุขตลอด คนจนหรือคนที่พอมีพอกินจะมีความสุขเท่ากับคนรวยกันหรือเปล่า หลายคนอาจจะกำลังพยายามที่จะหาตัววัดความสุขของคนที่ต่างกันเรื่องการเงินการทองเป็นที่สุด แต่ถ้ามองให้ลึก คนรวยก็อาจจะทุกข์มากกว่าคนพอมีพอกินก็ได้ อย่างเรื่องของการมีลูกน้องมาก คนบางกลุ่มมีลูกน้องมากมายถึง 100 หรือ 1000 คน ต้องดูแลและเอาใจใส่คนเหล่านี้ให้พอเพียง ต้องทำงานเพื่อให้ลูกน้องได้มีกินมีอยู่ ทุกข์ทางใจนั้นก็หนักไม่ใช่เล่น แต่ถ้าเทียบกับคนที่พอมีพออยู่ก็อาจจะมีแค่พ่อแม่พี่น้องที่ต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยกัน ซึ่งคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่าความรักความเข้าใจ บางครั้ง น้ำพริกปลาทูก็อร่อยกว่าปลาแซลมอนหรือปลาหิมะด้วยซ้ำ
นั้นจึงเป็นการบอกว่าเรื่องของความสุขบางครั้งก็ใช้ตัวเงินวัดไม่ได้ ต้องใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นการวัด อย่างกับคนธรรมดาที่มีในกระเป๋าสัก 1000 บาท พรุ่งนี้เงินเดือนก้อนใหม่ก็จะออกแล้ว วันนี้จะชวนคนที่รักไปใช้เงินสัก 2-300 กินให้มีความสุข ใช้เงินแค่พอดีแล้วเลือกแบบที่ชอบ ก็มีความสุขกว่าสิ่งใดแล้วเงินเดือนก็ยังเหลือเก็บอีกตั้งมากมาย แบบนี้ก็เรียกว่าสุขได้เต็มปาก แต่คนรวยเพิ่งไปรับประทานข้าวมือละ 3000 มา แต่พรุ่งนี้ต้องจ่ายหนี้หลักแสน ก็อาจไม่มีความสุขกับการได้ซื้อของกินที่อร่อยก็ได้
อย่าใช้ความรู้สึกของคนรอบข้างมาวัดความรู้สึกของตัวเรา สิ่งที่เราจะเพิ่มความสุขให้กับตัวเราได้นั้น เพียงเราตัดสิ่งรอบตัว 5 อย่างนี้ออกไป เท่านี้ก็จะมีสุขเกิน 100% แล้ว และมีสิ่งไหนบ้างที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจและใส่ใจ
1.เสียงหมาเห่า
เสียงหมาเห่า ก็คือเสียงคนรอบตัวที่ขยันพูดทำร้ายจิตใจโดยที่ไม่คิดถึงผู้ฟัง คิดว่าตนเองพูดตรงและพูดจริงใจ แต่คำเหล่านี้มันคือดาบที่คอยทิ่มแทงตัวเองลงไปทุกครั้ง การที่เขาเหล่านั้น พูดคำใหญ่ คำแรงเพราะไม่อยากให้ใครมาพูดแบบนี้กับเราเท่านั้นเอง เลยพูดดักคนอื่นไว้ก่อน ถ้าเราไม่สนใจปล่อยเขาพูดไป เหมือนเราฟังหมาเห่าไม่ต้องสนใจ เพราะเขาไม่ได้ช่วยเราทำมาหากิน แค่นี้ก็จะมีความสุขขึ้น ใหม่ๆอาจยากแต่นานๆไปก็จะชิน ทุกอย่างหัดได้
2.สนใจคำติไม่ดีใจกับคำชม
คำติต่างจากคำดูถูก เพราะคำติจะมาพร้อมกับคำแนะนำหลายคนไม่ชอบฟังคำติเพราะคิดว่าตนทำดีแล้ว และไม่อยากฟังคำที่ไม่เพราะหูแต่บางครั้ง เมื่อเราทำแล้วคิดว่าดีพอแค่นี้ นั้นคือเริ่มการถอยหลัง ยิ่งเป็นการทำการค้าแล้วไม่ฟังเสียงรอบข้าง ก็จะทำให้คู่แข่งของเราเดินแซงหน้าไปแบบไม่รู้ตัว สำหรับคำชมนั้นก็ให้จดบันทึกสิ่งที่ดีและหาทางต่อยอดให้ดีขึ้นกว่าเดิม คำว่าดีที่สุดไม่มีจริงในโลก ทุกอย่างสามารถทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้
3.ทำแต่พอเพียงไม่โลภมากจนเสพติด
การทำทุกอย่างแต่พอเพียงไม่ต้องทำแข่งทำอวดกับใคร เรื่องเหล่านี้จำเป็นอย่างมาก ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่เรายังพยายามที่จะทำต่อให้มากขึ้นไปกว่าเดิมพยายามที่จะทำให้เหนือกว่าคนอื่น ต้องเด่นกว่าคนอื่น แบบนี้เริ่มต้นของความอิจฉาแบบไม่รู้ตัวแล้วความสุขก็จะเดินออกจากคุณไปแบบไม่รู้ตัว สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไร เหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า ทั้งเพื่อนและงาน
4.มีความสนุกกับสิ่งที่ทำ
ทำให้สนุก และต้องสนุกกับสิ่งที่ทำ เมื่อไหร่ที่เราทำอย่างมีความสุขและสนุกแล้วผลงานก็จะออกมาดี ถึงแม้จะผิดพลาดไปบ้างแต่ก็ยังมองเห็นทางที่แก้ไขได้ ไม่ใช่ทำเพราะจำเป็นเพราะทุกอย่างจะออกมาแบบไม่สมบูรณ์ ขาดตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อยแล้วในที่สุดก็จะล้มไม่เป็นท่า ลองหาความสนุกจากสิ่งที่ทำก่อน อาจจะไม่ใช่เรื่องงานที่ต้องทำแต่สนุกที่ได้ร่วมงานกับคนนี้ ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่น้อย
5.ให้เวลากับตัวเองบ้าง
เวลาคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วหวนกลับคืนมาไม่ได้ เราจำเป็นต้องให้เวลากับตัวเราเองบ้าง อย่างน้อยในทุกวันก็ต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง อย่างการอาบน้ำเข้าห้องน้ำ แบ่งเวลาตรงนี้ให้มีความสุข เพราะช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเราเองมากที่สุดไม่ต้องเจอใครไม่ต้องสนใจใคร แล้วให้มันมีความสุขกับสิ่งตรงหน้า แล้วต่อยอดไปเรื่องอื่นที่ทำให้มีความสุขในเรื่องต่อๆไปได้
ความสุขเราไม่จำเป็นต้องไปตามหาไกลหลายร้อย หลายพันกิโลเมตร ความสุขห่างจากตัวเราแค่ความคิดเท่านั้น ถ้าเราคิดบวกไว้ตลอดเวลา มองโลกสวยไว้บ้าง ก็เท่ากับเราเริ่มต้นที่จะรู้จักความสุขกันแล้ว บางคนทำงานเหนื่อยหนัก แต่แค่ได้ฟังเพลงที่ชอบเพียงแค่ 4 นาที ก็มีความสุขได้ตลอดทั้งวันเช่นกัน ลองทำตามทั้ง 5 ข้อดูแล้วจะรู้ว่าความสุขที่จริงเราแค่ปิดประตูมันไว้ในใจเรามาตลอด